「 รูมเมทข้างห้อง 」: PeckTom : - 「 รูมเมทข้างห้อง 」: PeckTom : นิยาย 「 รูมเมทข้างห้อง 」: PeckTom : : Dek-D.com - Writer

    「 รูมเมทข้างห้อง 」: PeckTom :

    ผู้เข้าชมรวม

    1,026

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    12

    ผู้เข้าชมรวม


    1.02K

    ความคิดเห็น


    7

    คนติดตาม


    11
    หมวด :  แฟนฟิคไทย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  15 ก.ย. 60 / 06:47 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    「รูมเมทข้างห้อง」







            ต้นไม้สีเขียวขจีโบกพัดตามแรงลมที่หอบตัวเข้าในช่วงฤดูแปลเปลี่ยน แสงแดดอุ่น ๆ ในยามเช้าของดวงอาทิตย์คอยเป็นสัญญาณบ่งบอกช่วงเวลาที่กำลังดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ




            ดวงตาคมจ้องมองเหม่อลอยออกไปข้างนอกอย่างไร้จุดหมาย มองเหล่าผีเสื้อ และนกที่บินลอดแล่นเล่นล้อกับลมหนาวอันตัดกับความอุ่นของแสงสีส้มจางในยามนี้




            ใบหน้าคมหล่อที่ใครหลายๆคนหลงไหลทุกครั้งที่ได้สบมองเงยขึ้นพลางพักสายตาอย่างหน่าย ๆ




            เขาทำแบบนี้ประจำ ตั้งแต่เข้ามหาลัยมาได้ 3 ปี




            'กรึก'
    เสียงบางสิ่งถูกกระทบวางกับพื้นปูนห้องข้าง ๆ ดังเล็ดลอดออกมาจากประตูที่ถูกเปิดทิ้งไว้ไม่ให้ห้องภายในอับชื้น บ่งบอกได้ว่าต้องมีผู้มาใหม่เข้ามาพักอาศัยเป็นแน่




            เพราะความสนใจถูกโฟกัสไปที่เสียงนั่นจากห้องข้าง ๆ จึงไม่ละวางตาที่จะเบือนกลับไปเหม่ออีกครั้ง ไม่นานก็เผยร่างเจ้าของห้องใหม่เดินออกมาจากประตูกระจกบานใหญ่ที่เปิดทิ้งไว้ ร่างของชายหนุ่มตัวเล็กในชุดเสื้อฮู้ดสีดำสนิท เสื้อนอกลายสก็อตสีแดง ใบหน้าหวานละอ่อนที่คาดว่าน่าจะอายุน้อยกว่าเขาหลายปีอยู่พอควร




            แต่ที่หน้าสนใจคือ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่มีแววไม่สดใสเหมือนใครอื่นภายใตเลนส์แว่นหนากรอบน้ำตาลเข้ม ต่างกับใบหน้าที่ยิ้มจางๆให้กับอากาศข้างนอกห้อง




            " เอ่อ.. สวัสดีครับ "
    นานขนาดไหนก็ไม่อาจทราบได้เหมือนกันที่เขาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ละวาง ราวกับไม่เคยเห็นมาก่อนอะไรเทือกนั้น จนกระทั่งเสียงนุ่มละมุนของชายหนุ่มที่เขาจ้องเอ่ยทักเบา ๆ เรียกสติให้เขาเลิกเหม่อลอยได้




           " อ่.. อ้อ สวัสดีครับ คุณคงจะเป็นคนที่มาเช่าห้องอยู่ใหม่สินะครับ ? "
    เขาไม่คิดจะทำให้ผู้มาใหม่ต้องกลัวตั้งแต่แรกพบหรอก เพราะงั้นด้วยเป็นคนที่ไม่ใช่พวกหยิ่งยโสอะไรแบบนั้น เอ่ยปากทักกลับไปด้วยน้ำเสียงทุ้มเข้มแต่ก็อ่อนโยนอย่างที่เขาทำประจำ




            " ใช่ครับ ผมเพิ่งเข้ามหาลัยปี 2 น่ะ เลยย้ายมาพักข้างนอก "
    คิดไม่มีผิด เด็กกว่าเขา2ปีเลยนี่..




            ประโยคบอกเล่าที่ฟังแล้วลื่นหูสบายๆคล้ายจะกล่อมเขาให้หลับได้ทุกเมื่อ ราวกับกล่องดนตรีคอยคลอบรรเลงในยามที่เด็กน้อยนอนฟังให้หลับไหลในนิทรา ชายหนุ่มข้างห้องยิ้มให้เขาด้วยทีท่ากำลังหัวเราะอยู่ในใจ




            ขมวดคิ้วฉงนสงสัย ถึงแม้จะหันซ้ายหันขวาก็ตาม แต่นั่นก็ไม่สามารถปิดบังการแสดงออกที่เด่นชัดของเขาได้เลย " คุณทำหน้าเหมือนจะหลับได้ทุกเมื่อเลยนะครับ "




            ถึงกับบางอ้อดังๆในใจ คิดเหนียมอายอยู่ไม่น้อยที่เผลอทำตัวเคลิ้มคล้อยตามเสียงอีกฝ่ายไปซะได้




            " ฮะๆ อืม... ยังไงก็ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ "

            " ครับ เข่นกัน "







            บทสนทนาสั้นๆที่เค้าไม่แม้จะยื้อให้อยู่คุยต่อ มันก็ทำให้รู้สึกใจกระชุ่มกระชวยขึ้นได้ เหมือนกับดอกไม้ที่ได้รับน้ำหลั่งไหลรดรินให้ความชุ่มชื่น หรือดอกทานตะวันที่กำลังสดใสในยามต้องกับแสงสีอ่อนของดวงอาทิตย์




            น่าแปลกที่ผ่านมาคนข้างห้องที่เคยอาศัยด้วยแทบจะเป็นศัตรูด้วยกันตลอดการอาศัยกลับฟื้นฟูความเป็นมิตรไมตรีจากชายหนุ่มรุ่นน้องที่เพิ่งคุยด้วยกันไปได้ไม่ถึง5นาทีที่แล้ว




            เขารู้แล้วว่านี่คงจะเป็นอะไรที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาหลังจากหนี้



    *
    .
    .
    .
    .



            " วันนี้ดอกไม้วันนี้บานสดใสดีจังนะครับ "
    ดอกไม้หลากสีเบ่งบานสะพรั่งคล้อยเรียกร้องความสนใจของเหล่าแมลงปีกสีสันให้หันมาดมตอม ร่างเล็กของชายหนุ่มรุ่นน้องสะดุ้งตกใจก่อนจะหันมามองต้นเสียงอย่างเขาที่งนั่งเท้าคางกับราวระเบียงห้อง




            " ฮะ ลงทุนดูแลดีขนาดนี้ ถ้ามันไม่สดใสขนาดนี้ผมคงเสียใจแย่ "
    อีกฝ่ายพูดติดตลก นั่นก็เรียกเสียงหัวเราะของเขาไปได้อย่างง่ายดาย




            " นั่นสินะ รักการปลูกดอกไม้ต้นไม้หรอ ? "

            " คุณแม่ของผมชอบน่ะ เลยพลอยทำผมชอบไปด้วย "

            " แต่คุณแม่ก็เคยบอกผมนะ ว่าผู้ชายที่ชอบปลูกต้นไม้ ดอกไม้น่ะ ดูน่ารัก นุ่มนวล แถมเป็นคนที่ดูอบอุ่นด้วย "
    ยืนฟังที่อีกฝ่ายพูดไปพลาง เขาก็ลอบยิ้มอย่างอดเอ็นดูไม่ได้ อีกฝ่ายยิ่งนับวันก็ยิ่งดูน่ารัก เหมือนนกน้อยคอยร้องเจื้อยแจ้วขับร้องในยามเช้าไม่มีผิด สดใส ร่าเริง แต่ผิดไปกับแววตาเศร้าที่ซ่อนด้วยใบหน้าหวานที่เขายังไม่หายข้องใจ




            ทั้งคู่คุยด้วยกันมาได้ไม่ถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำ แต่กลับสนิทกันราวกับเคยอยู่ด้วยมานับหลายปี ถึงแม้จะยังใช้สรรพนามที่แทนตัวอย่างสุภาพก็ตาม




            " ผมก็ชอบนะ แต่ว่าตัวผมเองคงจะไม่ว่างขนาดนั้นสักเท่าไหร่ กับการต้องมาดูแลทุกเช้าเย็นน่ะ "
    ทั้งคู่เล่าเรื่องให้กันและกันตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายครั้งมักจะสีเรื่องเล่าที่ตลก เศร้า สนุกสนาน น่ากลัวอยู่เรื่อยมาจนวนเวียนมาครบ 1 เดือน




    *
    .
    .

            " เรามาเป็นรูมเมทกันไหมฮะ ? "

            " ห๊ะ "
    ถึงกับเผลอเลื่อนมือออกจนหน้าเกือบฟาดกับราวระเบียง สีหน้าและคิ้วที่ขมวดเป็นปมบวกกับดวงตาที่ดูตกใจไม่น้อยกับคำข้อเสนอที่อีกฝ่ายพูด




            สิ่งที่ได้กลับมาแทนคำตอบแก้ปมที่สงสัย รอยยิ้มหวานที่กลั้นเสียงหัวเราะไม่ให้เล็ดลอดออกมา " ผมหมายถึงเป็นรูมเมทห้องข้างๆน่ะฮะ "




            " อ๋อ รูมเมทข้างห้อง ? น่าแปลกดีนะ "
    ระบายยิ้มออกมาเมื่อความสงสัยถูกคลายออก




            พวกเขาคุยด้วยกันตลอดเดือนกว่า ๆ จนสนิทกันพอที่จะเปลี่ยนหางเสียง และการคุย รวมถึงปฏิกิริยาต่าง ๆ ก็เช่นกัน เขาสนใจในข้อเสนอนั้นอยู่พอควร น่าแปลกดี เขาว่า รูมเมทโดยส่วนใหญ่มักจะอาศัยในห้องร่วมกัน เขาอธิบายแบบนั้นในความคิดของเขา อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มหวานที่มักจะเผยออกมาอย่างหุบไม่ได้ว่า นี่เป็นเกม




            เกม... ?




            " นั่นสินะ บางเรื่องพวกเราคงบอกกันไม่ได้ หรือแสดงออกมาให้เห็นไม่ได้อยู่แล้ว "
    นั่นคือสิ่งที่อีกฝ่ายอธิบายเสริมกลับมาให้เขาเข้าใจ ลมหนาวพัดโชยผ่านมากระทบกับร่างกายทั้งคู่ เรือนผมสีน้ำตาลเข้มถูกแปลเปลี่ยนเป็นสีอ่อนเมื่อใบไม้ถูกพัดสบัดปล่อยให้แสงอาทิตย์ยามสายส่องกระทบเข้า รอยยิ้มถูกวาดบนใบหน้าที่ยิ้มแย้มไม่หยุดเมื่อได้คุยกับเขา ช่างสดใส ร่าเริง




           และน่าเศร้า




            ช่วงเวลาที่ผ่านไปเรื่อย ๆ ช้า ๆ ราวกับว่ามีบางคนกำลังเล่นสนุก คิดหยุดกลไกนาฬิกาโลกเอาไว้ ทั้งคู่ยังคงคุยเล่นกันไปวันๆ พวกเขาแลกความคิดให้กันและกันเหมือนกับว่าเป็นชีวิตประจำวันไปแล้ว




    *
    .
    .

            " คุยกันมาตั้งนาน ชื่ออะไรงั้นเหรอครับ เราน่ะ "
    มือหนาผิวแทนยื่นชี้นิ้วไปทางอีกฝ่ายที่กำลังรดน้ำต้นไม้บนระเบียงของตนอยู่ ผิดกับเขาที่นอนแนบกับแขนอีกข้างของตนด้วยท่าทีสบายๆ




            " .. นั่นสิ เป็นรูมเมทกันทั้งทีนี่เนอะ ผมชื่อ ทอม ครับ ทอม อิศรา กิจนิตย์ชีว์ "
    อีกฝ่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้มกว้าง บ่งบอกถึงความร่าเริงที่เขาเปรียบไว้ว่าเป็นดวงอาทิตย์ในยามเช้าที่สดใส สอดส่องแสงต้อนรับให้ดอกทานตะวันอย่างเขาต้องหันไปมองอย่างละไม่ได้




            เหมือนช่วงเวลาที่ผ่านมา เขากำลังจีบอีกฝ่ายอยู่ยังไงยังงั้น..




            " แล้วพี่ล่ะฮะ "

            " เป๊ก ผลิตโชค อายนะบุตร ครับ "
    เขาเอง ก็อดที่จะยิ้มตอบให้ไม่ได้ กับท่าทางที่น่ารักของคนห้องข้างๆ ในบทบาทของรูมเมทที่โดนเสนอมาเมื่อวานก่อน



            ตั้งแต่รู้จักกันมาในฐานะพี่น้องห้องข้างกัน ทั้งคู่ก็มารู้ทีหลังว่าอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน แน่นอนว่าไม่เคยเจอกัน เพราะอยู่คนละคณะ แถมตารางเรียนไม่เคยว่างตรงกันเลยด้วยซ้ำ




            ในเช้าวันเสาร์ที่คิดว่านี่คงเป็นสัปดาห์ที่ต้องเตรียมสอบไฟนอลของทุกๆคน ซึ่งนั่นเอง สำหรับเขา มันก็แค่การอ่านจำเพื่อสอบ.. แต่สำหรับอีกฝ่ายที่หายเงียบไปเกือบ 3 วัน คงจะเป็นเรื่องที่น่าเครียดพอดู




            " ทอม วันนี้ก็ยังอ่านหนังสือหรอ "
    เขามักจะทักทุกเช้าเมื่อไม่เห็นอีกฝ่าย มองลอดผ่านกระจกของประตูห้องที่สะท้อนเห็นตัวรุ่นน้องรูมเมท(ข้างห้อง)ของเขากำลังนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ที่โต๊ะทำงาน ก็ทำให้ความรู้สึกกังวลหายไปเป็นปลิดทิ้ง




            ในความรู้สึกเขาเอง เขาเปรียบเหมือนสุนัขที่นั่งตั้งหน้าตั้งตารอเจ้านายกลับบ้านมาจากการทำงาน และให้อาหารอย่างมีหวัง




            " ฮะ ผมก็ทำแบบนี้จนถึงวันจันทร์เลยล่ะ "
    ซึ่งนั่นก็คืออาหาร สิ่งที่เขารอคอยจากอีกฝ่ายตลอดเวลาที่เงียบหายไปหลังจากที่เอ่ยถาม



    *
    .
    .

            ทุกเช้าในวันที่อีกฝ่ายมีเรียน เขามักจะไม่เห็นอีกฝ่ายออกมานอกระเบียงเลยตลอดวัน และวันที่เขามีเรียน อีกฝ่ายก็จะไม่เห็นเขาตลอดวันเช่นกัน เว้นแต่นั่นเป็นแค่ความคิดที่เข้าข้างตัวเองเสมอ




            เขาก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่ารุ่นน้องรูมเมทของเขาเคยอยู่โรงเรียนมัธยมเดียวกับเขา และตอนนี้ก็มาอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันอีก แต่ดูท่าจะจำหน้าอีกฝ่ายไม่ได้เลยด้วยซ้ำ




    *
    .
    .

            ' ผมก็เพิ่งรู้นะว่าพี่อยู่โรงเรียนเดียวกับผม '
    เสียงนุ่มเอ่ยเบาๆท่ามกลางความเงียบที่กำลังครอบงำ เวลาตอนนี้เข้าพลบค่ำ ทั้งคู่นั่งคุยโทรศัพท์ผ่านแอพสีเขียวชื่อดัง




            " งั้นเหรอ พี่ก็เพิ่งรู้ "
    ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ ใบหน้าที่เผยรอยยิ้มไม่หยุดหย่อนมาตลอด 3 เดือนระบายออกมาอย่างปิดไม่มิดถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่เห็นก็ตามแต่ เขาเป็นคนที่เก็บซ่อนอะไรไม่ค่อยได้ เขาเลยทำให้อีกฝ่ายต้องหัวเราะตลอด




            ' ฮะ ๆ โลกกลมดีนะฮะ ถึงจะไม่เคยเจอกันก็เถอะ '

            " นั่นสิเนอะ ดึกแล้วนิ่ ใกล้หน้าหนาวแล้วด้วย รักษาสุขภาพหน่อยนะครับ "

            ' ... '

            " ทอม ? "
    ปลายสายเงียบหายไปนับหลายนาทีพอควร ในใจแอบวูบชั่วครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงเหมือนกระดาษถูกฉีกให้ขาดจากกัน เหมือนว่าจะทำอะไรสักอย่างอยู่




            " ทอม.. "

            ' ค ครับ? อ้อ โทษทีฮะ เมื่อกี้ผมเหม่อน่ะ '
    ซึ่งข้ออ้างนั่น ฟังยังไงก็ไม่ขึ้น โกหกชัดๆ




            " เล่าได้มั้ยว่าเป็นอะไร ? "

            ' ครับ เล่า ? '

            " ใช่ครับ "

    ..
    .
    .
    .
    *

            " ก๊อก ๆ คุณผลิตโชคคนคูลอยู่ไหมค้าบบ "
    เสียงใสดังมาจากระเบียงห้องข้างๆอีกแล้ว ในยามนี้เขาเพิ่งจะงัดตัวจากห้วงนิทราได้ เหมือนหมีขี้เซาที่ต้องการจะจำศีลต่อ แต่ก็หยุดความต้องการนั้นเมื่อมานึกอีกทีก็เป็นเสียงอีกฝ่าย แสงของดวงอาทิตย์ ที่กำลังทำให้เขาเบิกบานรับแสงสีอ่อนนั่น




            เรียวขายาวก้าวนำพาร่างที่ยังคงอยู่ในสภาพเพิ่งตื่นไปยังระเบียงห้องของเขา ดวงตาปรือ ๆ ถูกมือขยี้ไปมาอย่างติดนิสัย ลมเย็นพัดโชยกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับกลิ่นของดอกไม้ และความสดชื่นชื้นๆของต้นไม้ที่ผู้เป็นรูมเมทห้องข้างๆรดน้ำไว้อย่างดี




            " ครับ คุณอิศรา "
    ในเมื่ออีกฝ่ายเรียกเขาในนามชื่อจริงไปแล้ว มีหรอที่จะไม่เล่นกลับบ้าง




            " วันนี้ตื่นสายเอาเรื่องเลยนะฮะ นึกว่าจะเบื่อคุยแล้วซะอีก "

            " ทอมนั่นแหละที่ตื่นเช้าเกิน พี่เพิ่งจะได้นอนเมื่อตอนตี 5 เองนะครับ "
    เสียงละมุนเอ่ยกลับพร้อมรอยยิ้มช่างเอ็นดู ไม่เคยมีความสุขได้หลายเดือนติดต่อกันขนาดนี้ ถึงจะดูเพ้อก็ตามแต่



            " ดอกไม้ยามเช้า ยังสดใสเหมือนเดิมเลยนะครับ "
    เอ่ยแซวในความรักษาชีวิตเจ้าตัวเล็กที่วางเรียงรายจัดไว้อย่างดี ดูเป็นระเบียบ และสื่อถึงความเอาใจใส่ดีพอควร




            " ครับ เหมือนคนดูแลไง "

            " ใช่ เหมือนมาก ๆ เลยล่ะ... แล้วนี่มีอะไรเหรอครับ ถึงตื่นแต่เช้าขนาดนี้ ? "
    ดูจากการแต่งกายของอีกฝ่าย คล้ายว่าจะออกไปข้างนอกเสียด้วย จะปลุกให้มารู้ก่อนว่าไปธุระรึเปล่า ?




            " ทอมจะชวนพี่ไปเดินเล่นฮะ ไปด้วยกันไหมครับ ? "
    เป็นประโยคคำถาม ที่เหมือนกับพรจากสวรรค์ นานแค่ไหนแล้วที่จะถูกคนห้องข้างๆชวนไปข้างนอก ไม่สิ นานแค่ไหนที่จะถูกคนที่เขาหลงใหลในน้ำเสียง ใบหน้า และนิสัยของคนข้างห้องตรงนี้




            " หืม... เอาสิครับ ถ้าจะไป.. ใส่เสื้อกันหนาวที่หนากว่านี้อีกนิดดีไหมครับ พี่ว่านะ "
    ดวงตากวาดมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าผ่านช่องระเบียงรั้วถึงได้สังเกตว่าอากาศหนาวแบบนี้อีกฝ่ายยิ่งไม่ควรเสี่ยงใส่แค่เสื้อฮูดสีดำตัวเดียวกับกางเกงยีนส์ขายาวแค่นั้น




            " ผมหายดีแล้วหน่า.. พี่นั่นแหละฮะ ใส่เสื้อก็บาง ๆ นี่ยังยืนต้านลมข้างนอกได้อีกนะฮะ "

            " ...ว่าแต่พี่เถอะ ทอมก็บางจนพี่รู้สัดส่วนร่างกายแล้วครับ "
    เสียงหัวเราะร่าดังออกมาจากร่างชายหนุ่มข้างห้องอย่างร่าเริง เขาลอบยิ้มมองดวงอาทิตย์ที่ไม่มีวันจางหายไปจากโลกของเขากำลังมีความสุข




            แต่นั่น ความกังวลใจของเขาก็ไม่ยอมจางหายไปเสียที...




            ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือนพวกเขามักจะใช้เวลาในวันหยุดออกมาเดินเล่นข้างนอก ไม่ก็นั่งคุยกันระหว่างวันตรงระเบียงห้อง มีเรื่องปรึกษากันหลายอย่าง แม้แต่การสอนข้อสอบก็มักจะติวกันผ่านระเบียงห้องที่กั้นเอาไว้




            เป็นรูมเมทที่แปลก แต่ก็ไม่มีอุปสรรคใด ๆ มาขัดขวางระหว่างกันได้ นอกเสียจากกำแพงขาวนวลที่กั้นเอาไว้




            ที่ปิดกั้นถึงความลับที่อีกฝ่ายไม่เคยปริปากพูด แม้จะเจ็บปวดขนาดไหน




    *
    .
    .

            ปั้งๆๆๆๆๆ !!!!

            " ทอม !! ทอมเปิดประตูให้พี่ !! "
    เสียงระรัวจากการทุบประตูห้องด้วยอารมณ์กระวนกระวาย ใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อยิ่งบ่งบอกได้ว่าตกใจแค่ไหน




            ก่อนหน้านี้ทั้งคู่กำลังคุยโทรศัพท์ผ่านแอพสีเขียวตามปกติ แต่เพราะความที่อีกฝ่ายซึ่งอยู่ๆก็หายไปเสียดื้อ ๆ อีกครั้ง ยิ่งทำให้เขาต้องกระวนกระวายไปกว่าเดิม เพราะเสียงที่ดันเล็ดลอดออกมาผ่านหูฟังที่ได้ยินคือเสียงไอ และเสียงของของเหลวที่ไหลออกมา ยิ่งทำให้หวนนึกถึงสิ่งที่เขาเคยขอให้อีกฝ่ายเล่าให้ฟังเมื่อเดือนก่อน




            ' ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวของผม แต่รู้ตัวอีกที เลือดก็ไหลออกมาจากปากจนเลอะไปทั่วเลยล่ะฮะ '

            ' ผมตกใจมาก ตกใจ กระวนกระวายจนร้องไห้ และนั่นน่าจะทำให้พ่อกับแม่ผมได้ยินด้วย เลยส่งโรงพยาบาลทัน '

            ' แต่ก็ไม่มีใครสามารถหาวิธีรักษาได้เลย.. '




            " ทอม ถ้าไม่เปิดประตูให้พี่ พี่จะพังเข้าไปแล้วนะ !! "




            ' แกร๊ก '
    เสียงปลดล็อคของประตูดังส่งสัญญาณท่ามกลางความเงียบชั่วขณะที่เขากำลังหายใจเพื่อเรียกสติตัวเองให้มากพอที่จะพังประตูตรงหน้าเข้าไป




            " ทอม ทำไมไม่รีบบอกพี่ ก็รู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้มันจะยิ่งแย่ "
    เสียงทุ้มเอ่ยดุอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่โมโห กระวนกระวายแต่ก็เป็นห่วงจนมันปนกันไปหมด " ก็รู้ว่าพี่สามารถช่วยได้แค่พาไปโรงพยาบาล... แต่นี่ยิ่งไม่บอกแบบนี้พี่ก็ยิ่งจะหาทางช่วยไม่ทัน.. "




            ยิ้มเจื่อน ๆ ถูกส่งกลับมาให้เขา มันยิ่งทำให้เขาโกรธเคืองตัวเองมากขึ้นถึงความเป็นห่วงจนทำให้อีกฝ่ายต้องผวาจนกลัว




            แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นที่ควรจะคิด เพราะนี่มันยิ่งเกินที่อีกฝ่ายจะทนไหวแล้ว







            " พี่เป๊ก ทอมไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลยด้วยซ้ำนะฮะ "
    เรืองร่างที่ผอมลงไปมาก แต่กลับยังคงความสดใสเอาไว้บนใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าของร่างเล็กบนเตียง ใช่ เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยจางหายไปเลยจริง ๆ แม้แต่ตอนป่วยจนหมอต้องออกใบสั่งแอดมิทขนาดนี้แล้วแท้ ๆ ..




            " ถ้าพี่ไม่ทำแล้วใครจะทำ แล้วพ่อแม่ล่ะ ไม่ได้โทรบอกหรอ ? "
    ใบหน้าละอ่อนที่ซีดลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากเข้าโรงพยาบาลมาส่ายหน้าให้เป็นคำตอบที่ดูไม่ดีนัก พร้อมกับสีหน้าที่ยิ่งเศร้าหมองลงหากพูดถึงมัน




            " พวกท่านไม่อยู่กับทอมมาตั้งแต่ส่งทอมขึ้นม.ปลายแล้วล่ะฮะ "
    ประโยคบอกเล่า แต่แฝงด้วยน้ำเสียงอันเศร้าโศก บวกกับดวงตาที่เสมองไปทางอื่นอย่างปิดไม่ได้ของคนตรงหน้า




            ยิ่งกระจ่างถึงข้อสงสัยของแววตาอีกฝ่ายที่ไม่ได้ยิ้มเบิกบานตามรอยยิ้มร่าเริงสดใสตลอดที่ผ่านมาเกือบปีครึ่งที่เขาอยู่เคียงข้าง




             " .......ทอม พักเถอะครับ ยิ่งคิดถึงจะยิ่งแย่ลงเอานะ "
    แต่อีกฝ่ายส่ายหน้า




            " ทอมเคยบอกไหมฮะ ว่าถ้ามันทรุดลงอีกครั้งมันจะไม่มีทางรักษาให้ทอมกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีก "

            " พูดอะไรแบบนั้น !! "
    เสียงปึงปังดังลั่น กับเศษแก้วที่ตกลงมาแตกกับพื้น ดอกไม้ที่ถูกจัดเป็นช่อกำลังโรยตัวกลีบลงมาแตะกับโต๊ะข้างเตียงทีละกลีบอย่างเชื่องช้า




            มือหนาอาบเลือดยังคงสั่นระริก สีหน้าที่ไม่สามารถปกปิดได้ของเขาเผยให้เห็นถึงน้ำตาใสไหลรินลงมา




            เขาไม่เคยร้องไห้ให้กับใครมาก่อน




            ไม่เคยแม้แต่ความรู้สึกที่กลัวจะเสียใครไปเหมือนตอนนี้...




            มือบางเลื่อนขึ้นมาแตะที่มืออีกข้างของเขาในยามนี้ที่ถูกอาบไปด้วยน้ำตาที่ไหลหยดลงมาอย่างพรั่งพลูจนหยุดไม่ได้ ใจกระตุกวูบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนขึ้นมามองใบหน้าเจือสีแดงอ่อนๆที่จมูก กับเนินแก้มใกล้ขอบตา " พี่ไม่ต้องห่วงฮะ ทอมเชื่อว่ามันต้องมีทางรักษาหาย "




            " ถ.. ถ้ามันไม่มีใครมีเลือดที่เข้ากับทอมได้ล่ะ "
    ใบหน้าที่หวาดหวั่น ใบหน้าที่ชื้นเต็มไปด้วยน้ำตาใสยังคงมองไม่เบือนไปไหน




            เขาทำตัวราวกับคนที่เขารักป่วยหนัก เขาแทบจะยอมพลีกายคอยช่วยเหลืออีกฝ่ายแม้กระทั่งยอมสละเงินที่เก็บไว้ส่งเป็นค่ารักษาให้ เขาแทบที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายมีความสุข




            และเขาก็ยอมรับว่านั่นเป็นการกระทำที่ไม่ใช่สำหรับคนในบทบาทรูมเมทอย่างเขา..




            " เชื่อทอมเถอะนะ พี่ไม่ต้องกังวลไปหรอก ภูมิต้านทานทอมไม่ได้ต่ำจนชีพจรหยุดเต้นในทันทีที่ไหนล่ะ ฮะๆ "อีกฝ่ายพูดติดตลก ซึ่งนั่นก็ดูกระอั่กกระอ่วนพอควรที่จะพูดอะไรที่สวนทางกับความเป็นจริงของคนตรงหน้า คนที่เขายอมทุ่มเททั้งใจให้ไปก็ยังแม้จะเคยบอกด้วยซ้ำ




            " พี่จะเชื่อ สัญญาสิว่าจะไม่เป็นอะไร.. "
    ใบหน้าที่ตีเข้มอย่างจริงจัง เขาไ่แม้จะสนใจมือที่อาบเลือดนั่นเลย เพราะความเจ็บปวดในตอนนี้มันฝังลึกลงไปในใจแล้ว ฝังลึกลงไป..




            " ฮะๆ พี่พูดอะไรน่ะ พูดเหมือนทอมเป็นแฟนพี่ที่กำลังเตรียมผ่าคลอดเลยนะฮะ "

            " แล้วพี่เคยบอกไหมนะ ว่าพี่ชอบเราน่ะครับ... "

            " .......... "







            " ... ? "

            " นั่นสิ แล้วทอมล่ะ เคยบอกให้พี่ฟังไหมฮะ.... ? "




    *
    .
    .
    .
    .




            เวลาผ่านไปอาจไม่สามารถทำให้คนเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาได้




            ผลิตโชค อายนะบุตร ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์สีดำขายาวถูกทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีเขียวแก่ กับถุงมือผ้าที่สวมใส่ทับไว้ในเวลาทำงาน




            " ไอ้เป๊ก รีบ ๆ ดอกทานตะวันขึ้นรถเร็ว ๆ ดิ จะไปส่งไม่ทันแล้วนะเว่ย "
    เสียงตะโกนดังมาจากฟากหนึ่งของร้านดอกไม้พืชพันธุ์นานา เรียกให้นายผลิตจำต้องหันกลับมาทำงานอย่างละไม่ได้




              " พี่ไปทำงานก่อนนะครับ ดูแลร้านเราให้หน่อยนะครับ "
    ใบหน้าเปื้อนยิ้มถูกส่งไปยังรูปตั้งโต๊ะที่วางอยู่หลังเค้าเตอร์ของร้าน รูปถ่ายที่เขาเคยขอเก็บไว้ก่อนจะจาก รูปถ่ายที่เขาไม่คิดอยากจะทิ้งถึงแม้ว่าคนที่ทำให้เขาต้องสารภาพรักต้องจากไปด้วยโรคประจำตัวที่รักษาไม่หาย..




            " กุไปรอที่รถก่อนนะ ถ้ามีอะไรขาดตกบกพร่องรีบบอกนะเว่ย "

            " เอ้อ คร้าบ ๆ พ่อคนใจร้อน "







            ' จะรักษาคำสัญญาที่จะไม่ไปมีใครอื่นอีกจนกว่าชีวิตจะหมดลมหายใจนะ '




    The End

    --------------------------------------

    สวัสดีค่ะ นี่เมากาวอะไรไม่รู้มาแต่งฟิคที่เหมือนจะดราม่าแต่ก็ไม่ดราม่า (หรือมันดราม่านะ) มาลงค่ะ

    ภาษาอาจจะดูแปล่งๆเพราะไม่เคยแต่งอะไรเทือกนี้

    แล้วก็สำหรับใครที่อ่านแล้วไม่ชอบหรือยังไงก็บอกกันได้ในทวิตนะคะ

    หรืออ่านจนจบแล้ว

    ขอให้ตับไตรีดๆทั้งหลายยังสถิดอยู่ที่ท่านค่ะ

    (.................)
    *กราบงามๆ*

    Twitter : @DviaF
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×